5 คุณสมบัติของจิตทรงปัญญา
พศิน อินทรวงค์
1. มองทุกสถานการณ์เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ให้ค่าบวกหรือลบ แต่ตระหนักรู้ว่า สิ่งใดๆคือภาวะที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยเท่านั้น เมื่อมีเหตุมันก็เกิด เมื่อเหตุดับมันก็ดับ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
2. ไม่แบ่งแยกตนเองจากสรรพสิ่ง โดยมองตนเองเป็นส่วนหนึ่งของโลก ดำรงชีวิตอยู่เพื่อเป็นประโยชน์ของโลกเป็นสำคัญ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ใช้ความเป็นชาติ ศาสนา เพศ สีผิว เพื่อแยกมนุษย์ออกจากกัน
3. ออกจากโลกของความเป็นคู่ คือการมองทะลุผ่านมายาสมมุติของด้านตรงกันข้าม ขาวและดำ สุขและทุกข์ ดีและเลว ได้มาและเสียไป เมื่อวางจิตอยู่เหนือความเป็นคู่ได้แล้ว จิตย่อมเข้าสู่ภาวะความเป็นกลาง เปลี่ยนจากสุขทุกข์เป็นความเบิกบาน เปลี่ยนจากการคนดีคนชั่วเป็นผู้มีปัญญารู้แจ้ง
4. ใช้ชีวิตอยู่เหนืออำนาจความคิดซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอัตตาตัวตน เป็นผู้ดำรงตนโดยสัญชาติญาณว่า ในเราไม่มีเรา มีฉันอยู่แต่ไม่มีฉันอยู่ มีความรู้สึกแต่ไม่มีผู้รู้สึก
5. เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่าเวลา นั่นคือตระหนักรู้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น ไม่ตกอยู่ในมายาของอดีตและอนาคต เห็นความจริงว่าเวลาเป็นเพียงสิ่งที่เกิดดับสลับกัน นำไปสู่ความเข้าใจว่าเวลาไม่มีอยู่จริง
***ติดต่อ พศิน อินทรวงค์***
วิทยากร/บรรยาย/หนังสือ/บทความ
https://www.facebook.com/talktopasin2013
***ติดตามช่องยูทูป***
พศิน อินทรวงค์ - Pasin Intarawong
เพื่อนมนุษย์ ความทุกข์ และความตาย
พศิน อินทรวงค์
1. ขึ้นชื่อว่าทุกข์ ล้วนเกิดจากตัณหา ท่านอยากได้สิ่งใด ก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้น จะไม่มีสิ่งใดในโลกที่ท่านอยากได้แล้วไม่นำทุกข์มาให้ ใครจะเอาแต่แสงไฟโดยปราศจากความร้อนย่อมเป็นไปไม่ได้ อยากได้ความรักก็จะทุกข์เพราะความรัก อยากได้เงินทองก็จะทุกข์เพราะเงินทอง อยากให้ผู้คนยกย่องสรรเสริญ อุ้งเท้าแห่งคำติฉินนินทาย่อมกระทืบท่านจมดิน ดังนั้น เมื่อท่านมีความทุกข์ จงพิจารณาให้ดีว่าท่านกำลังอยากได้สิ่งใดอยู่ ค้นให้เห็นหาให้เจอ แล้วลงมือแก้ความทุกข์จากตรงนั้น ดับความต้องการในสิ่งนั้นได้ ความทุกข์ก็มีโอกาสเบาบางลงได้
2. ความทุกข์คือนักเต้นรำเท้าไฟ มันเคลื่อนที่ตลอดเวลา มันเกิดขึ้น คงอยู่ แล้วมันก็ดับไป แล้วมันก็ก่อตัวขึ้นใหม่ วงจรเช่นนี้คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน เหมือนปรากฏการณ์ฟ้าคลั่ง มีสายน้ำ มีการระเหยตัว จากดินสู่ฟ้า ก่อตัวเป็นเมฆขาว ควบแน่น กลั่นตัวเป็นเม็ดฝน เพื่อกลับสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง เมื่อท่านยอมรับสิ่งใดไว้ในครอบครอง นั่นคือจุดเริ่มต้นของวงจรแห่งทุกข์ ท่านได้มาแล้วท่านก็ต้องรักษา เมื่อเริ่มรักษา ก็จะพบว่าท่านรักษาอะไรไว้ไม่ได้สักอย่าง ทั้งคนบางคน ทั้งของบางชิ้น ทั้งความรู้สึกบางอย่าง ล้วนแสดงธาตุแท้ว่ามันไม่ใช่ของๆ ท่าน เมื่อได้ครอบครองสิ่งใด อย่าด่วนสรุปว่านี่คือความสุข จงตั้งสติแล้วเริ่มสังเกต เมื่อสังเกต ท่านจะพบความจริงสองประการ หนึ่ง ท่านจะเห็นใจที่เคลื่อนเข้าไปยึด สอง ท่านจะเห็นว่า ขณะที่ใจของท่านกำลังยึด สิ่งที่ท่านยึด ก็กำลังถอยห่างจากท่านในเวลาเดียวกัน “ยิ่งมีจิตแห่งการครองครองมากเท่าไหร่ ความสงบเย็นในชีวิตยิ่งน้อยลงเท่านั้น”
3. โลกนี้มีคนเป็นพันล้าน มีทารกหลายคนถูกทิ้งถังขยะ มีเด็กสาวหลายคนถูกชายชั่วข่มขืน มีแม่หลายคนต้องจัดงานศพให้ลูกของตัวเอง หลายครอบครัวในหลายประเทศไม่มีที่ซุกหัวนอนเพราะพิษภัยสงคราม โลกของเราเต็มไปด้วยคนหัวใจสลาย เมื่อท่านมีความทุกข์ ขอให้ท่านหลุดจากภวังค์แห่งทุกข์ของตนชั่วคราว แล้วมองไปที่คนเหล่านี้ “คิดให้ดีว่าความทุกข์ของท่านใหญ่หลวง หรือการปรุงแต่งของท่านใหญ่หลวง” การคิดถึงตนเองมากเกินไป ย่อมนำความทุกข์มาให้โดยปริยาย แม้ท่านต้องการพบเจอกับความทุกข์ให้น้อยที่สุด ท่านต้องคิดถึงตนเองให้น้อยที่สุด และคิดถึงเพื่อนมนุษย์ให้มากที่สุด ต่อให้ท่านกลายเป็นคนพิการ ถ้าท่านคิดถึงเพื่อนมนุษย์มากกว่าความพิการของตนเอง ความพิการก็ไม่สามารถสร้างความทุกข์ให้ท่านได้เลย
4. เราทั้งหลายคือเพื่อน ไม่มีคำจำกัดความอื่นนอกจากความเป็นเพื่อน แม้เขาทำให้ท่านเจ็บช้ำไปบ้าง แต่เขาก็ยังนับว่าเป็นเพื่อนของท่านอยู่ดี ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ เราทุกคนไม่แตกต่างกันเลย ทุกชีวิตล้วนอยู่ภายใต้ความเปาะบาง มีน้ำตา มีความเจ็บปวด มีความโดดเดี่ยวอ้างว้างเป็นของตนเอง สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครเติมเต็มให้พวกเราได้ จงช่วยกัน ดูแลซึ่งกันและกัน แม้วันนี้เรามีความทุกข์ จงย้ำกับตนเองว่า วันหน้าเราจะไม่ขอมีส่วนในการสร้างทุกข์ให้ผู้อื่น ถ้าเราทุกข์เพราะความขัดสน วันหน้าจงให้โอกาสคน อย่าคดโกงคน อย่าเอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์คนใด ถ้าวันนี้เราทุกข์เพราะขาดความรัก วันพรุ่งนี้จงให้ความรัก แบ่งปัน และให้อภัย อย่าทำให้เพื่อนมนุษย์คนใดต้องสูญสิ้นกำลังใจเพราะเรา “ให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่เพื่อนมนุษย์ คือการสลายความเจ็บปวด และความทุกข์ที่ดีที่สุด”
5. “ความทุกข์คือสามัญลักษณะ เป็นพื้นฐานในการดำรงอยู่ของชีวิต” จะไม่มีใครในโลกที่รอดไปจากการสูญเสียคนรัก ทั้งจากเป็นและจากตาย จะไม่มีใครในโลกที่รอดพ้นไปจากการสูญเสียเงินทอง วัตถุสิ่งของที่ตนหวงแหน จะไม่มีใครในโลกที่รอดพ้นไปจากการติฉินนินทา จะไม่มีใครในโลกที่รอดพ้นไปจากความยากลำบากในการหาเลี้ยงชีพ เพราะทุกคนต่างแหวกว่ายอยู่ในนาวาแห่งสังสารวัฏที่มีความทุกข์ดั่งแม่น้ำใหญ่ มีความสุขดั่งแผ่นฟ้ากว้าง และมีอัตตาตัวตนดั่งแผ่นดินทับถล่ม แล้วสายลมก็พัดผ่าน แล้ววันหนึ่ง เราทั้งหลายก็ต้องพบปะกับวันวัยแห่งความชรา แม้แต่งตัวด้วยความประณีตตั้งใจให้สวยงามเพียงใด แต่เราไม่อาจงดงามได้อย่างเดิม วันหนึ่งเราจะเดินไม่ได้ วันหนึ่งเราจะกินอาหารใดๆ ไม่รู้รส จะไม่ได้ยินเสียงบทเพลงไพเราะ จะมองไม่เห็นใบหน้าของผู้เป็นที่รักได้ชัดเจนเหมือนเก่า แต่เราอาจพบความจริงว่า
ความทุกข์ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
และความทุกข์นี่เองคือเพื่อนแท้
ที่สอนให้เราตระหนักถึงความงดงามของการมีชีวิตอยู่
ขณะที่เรากำลังดื่มด่ำกับความหมายที่แท้จริงของชีวิต
ทันใดนั้น สายลมพัดผ่าน
แล้วลมหายใจสุดท้ายของเราก็ดับลง…
***ติดต่อ พศิน อินทรวงค์***
วิทยากร/บรรยาย/หนังสือ/บทความ
https://www.facebook.com/talktopasin2013
***ติดตามช่องยูทูป***
พศิน อินทรวงค์ - Pasin Intarawong
10 ความน่าเสียดาย สำหรับผู้ไม่ฝึกฝนวิปัสสนา(อย่างสม่ำเสมอ)
พศิน อินทรวงค์
1. ผู้ไม่เคยฝึกวิปัสสนา จะไม่มีวันเห็นชีวิตตามความเป็นจริง เพราะระบบชีวิตตามความเป็นจริง หรือสิ่งที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า ขันธ์ห้า ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งส่วนประกอบของชีวิตทั้งห้าส่วนนี้ ไม่สามารถเรียนรู้ได้จากการอ่าน การฟัง และไม่สามารถคิดนึกเอาเองได้ จำเป็นต้องฝึกสติโดยผ่านกระบวนการวิปัสสนาซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่พระพุทธเจ้าทรงคิดค้นขึ้น เพื่อให้มนุษย์ได้มีโอกาสรู้ความจริง เกี่ยวกับชีวิตของตนเอง
2. โดยทั่วไปแล้วคนเรา มีแนวโน้มที่จะยึดติดมากกว่าปล่อยวาง แม้ปล่อยวางได้เป็นพักๆ แต่ความคิดปรุงแต่งก็จะวนเวียนเข้ามาเรื่อยๆ ขอให้สังเกตชีวิตของตนเองอย่างเป็นกลาง ว่ามีความทุกข์มากกว่าความสุขจริงหรือไม่ ในแต่ละวัน มีความขุ่นมัวหรือความเบิกบานใจมากกว่ากัน มีความฟุ้งซ่านหรือสงบนิ่งมากกว่ากัน สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากการที่สติอ่อนกำลัง ไม่เท่าทันความคิด นี่คือธรรมชาติของจิตที่ไม่ได้รับการฝึกฝน ไม่น่าแปลกใจเลย ที่คนส่วนใหญ่ยังต้องเผชิญกับความทุกข์อันเกิดจากความคิดของตนเองอยู่ตลอดเวลา
3. ความคิดและจิตไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเห็นสภาวะเกิดดับของรูปนามผ่านกระบวนการความคิด ความรู้ว่าชีวิตคืออะไร คือจุดเริ่มต้นที่จะทำอะไรๆ ในชีวิตให้ถูกต้อง เมื่อไม่รู้จักสภาพชีวิตตามความเป็นจริงแล้ว ทุกอย่างในชีวิตย่อมมีแต่ความผิดพลาดไปทั้งหมด คือผิดก็คิดว่าถูก รวมความว่า "เป็นผู้ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้" และ "เป็นผู้ไม่รู้แต่ดันไปคิดว่าตนเองรู้แล้ว" เป็นความไม่รู้แบบซ้ำซ้อนอันเกิดจากการที่ปลงใจเชื่อตนเองแบบไม่เฉลียวใจ ไม่ศึกษา เปรียบเหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดที่เหลือก็ไม่มีวันถูกต้องไปได้
4. ส่วนใหญ่แล้วเป้าหมายใดๆ ในชีวิต ก็เป็นเพียงเป้าหมายแบบสมมุติบัญญัติ เป็นเป้าหมายที่อาจรู้สึกว่าถูกต้องในวันนี้ อาจเห็นว่าเป็นสิ่งดีงามเสียมากมายในวันนี้ แต่สิ่งเดียวกันนี้ อาจกลายเป็นสิ่งไร้สาระในวันหน้า จากที่ชอบกลายเป็นไม่ชอบ จากที่เคยเทิดทูนบูชา กลายเป็นรู้สึกจืดชืดชินชา เป้าหมายชีวิตของคนที่ไม่รู้จักชีวิตตามความเป็นจริงจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามวันเวลา ตามวัย ตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เป้าหมายที่มั่นคงชัดเจนที่ใช้ได้ชั่วชีวิต เนื่องจากเป็นการตั้งเป้าหมายจากสิ่งที่ตนสมมุติขึ้นมาเองแต่แรก เมื่อสมมุติเปลี่ยน เป้าหมายย่อมเปลี่ยน ถึงวันหนึ่ง แม้ลาโลกไปแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของการเกิดเป็นมนุษย์คืออะไร
5. พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมชาติของจิต เหมือนน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ แม้ปล่อยให้ตนเองเสพกามสุขโดยไม่เฉลียวใจ ย่อมเกิดการยึดติดในกาม อันเป็นต้นทางของความทุกข์และการเบียดเบียนผู้อื่น เราเรียนคณิตศาสตร์อย่างเป็นระบบ เรียนธุรกิจอย่างเป็นระบบ เราเรียนภาษาต่างๆ อย่างเป็นระบบ แต่จิตใจซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เรากลับปล่อยให้ตนเองเรียนรู้ไปตามยถากรรม สิ่งเหล่านี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วแก่บุคคลทั่วไป
6. สติมีอยู่สามระดับ คือสติระลึกรู้ สติเห็นความคิด และมหาสติมหาปัญญา สติระดับแรก จะมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน แม้ในสัตว์บางชนิดก็มีสติเช่นนี้อยู่ในบางครั้ง แต่สติสองระดับหลัง จะมีอยู่ในผู้ที่ฝึกวิปัสสนาเท่านั้น สติระดับแรก อาจใช้ทำมาหากินได้ ใช้สร้างความสุขแบบโลกๆ ได้ แต่ใช้ดับทุกข์ไม่ได้ ใช้ในการศึกษาความจริงของตนเองไม่ได้ ใช้ในการดับกิเลสก็ไม่ได้ แม้ผู้ใดมีกำลังสติเพียงระดับแรก ชีวิตนี้ก็มีอันต้องพบกับความสุขความทุกข์สลับกันไปมา และจะพลาดหนทางแห่งการเรียนรู้ความจริงของธรรมชาติไปโดยสิ้นเชิง
7. จิตที่ไม่เคยฝึกวิปัสสนาย่อมมีการปรุงแต่งสูงอยู่แล้วตามธรรมชาติ เมื่อมีชีวิตอยู่ ก็ปรุงแต่งเป็นความทุกข์ เป็นความท้อแท้ หดหู่ สิ้นหวัง เบื่อ ซึม เซ็ง ต่อเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ก็ปรุงแต่งต่อไปเพื่อสร้างภพภูมิใหม่ เป็นจิตที่มีโอกาสสูงที่จะคิดนึกในเรื่องอกุศล หรือมีความขุ่นมัวในวินาทีสุดท้าย พระพุทธเจ้าตรัสว่า มนุษย์ที่ตายไปแล้วและได้เกิดมาเป็นคนอีก จะเหลือเพียงเศษดินปลายเล็บ จากดินทั้งหมดในมหาปฐพี หมายความว่า คนส่วนใหญ่เมื่อตายไปแล้ว ก็มีอบายภูมิเป็นที่ไป พูดง่ายๆ ว่าเป็นคนเสร็จในชาตินี้ก็ไปตกนรกต่อ และบุคคลผู้นั้นก็จะพบกับความทุกข์เจ็บปวดชนิดที่ไม่สามารถจินตนาการได้ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น เพราะเขาไม่มีกำลังสติในการควบคุมจิตสุดท้ายได้เท่านั้นเอง
8. ปกติแล้วมนุษย์จะมีกิเลสทุกชนิดอยู่ในตนเอง ถ้ามีเหตุปัจจัยไปก่อกวน กิเลสก็จะฟุ้งกระจายออกมา เกิดเป็นความคิด คำพูด และการกระทำที่เป็นอกุศล วิปัสสนานั้น ไม่ได้ช่วยป้องกันกิเลสฟุ้งกระจายเท่านั้น แต่ยังสามารถสะสางกิเลสออกจากใจเป็นการถาวรได้ด้วย เราเรียกผู้ที่สามารถสำรอกกิเลสออกจากตนเองว่า พระโสดาบัน พระสกกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์
9. เมื่อฝึกวิปัสสนาถึงระดับหนึ่ง จิตจะได้รับความสุขในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นความสุขแบบละเอียด เรียกว่าสุขจากสมาธิ และสุขจากวิมุติ ซึ่งเป็นความสุขชั้นสูงที่มีไว้เฉพาะผู้ฝึกจิตเท่านั้น ปกติคนเราจะได้รับความรู้อยู่เพียงระดับกามสุข คือมีโอกาสเข้าถึงแค่ความสุขชั้นตื้นอันเกิดจากสัมผัสรับรู้ต่างๆ แม้มนุษย์ผู้ใด สัมผัสเพียงความสุขระดับกามสุข มนุษย์ผู้นั้นก็เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง
10. วิปัสสนา ทำให้คนไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ทำให้คนพ้นไปจากกองทุกข์ทั้งปวง แท้จริงแล้ว วิปัสสนาคือวิถีชีวิตในอุดมคติที่พระพุทธเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกผู้นำไปปฏิบัติ เพื่อสร้างสังคมของพระโสดาบันให้เกิดขึ้นในโลก สังคมของพระโสดาบันนี้ เป็นสังคมของผู้มีกิเลสน้อย เป็นสังคมแห่งสันติภาพ เป็นสังคมของคนเอาการเอางานแต่ไม่เอาชนะคะคาน เป็นสังคมแห่งความเมตตาอารีย์ ชาวพุทธทั้งหลาย จึงสมควรอย่างยิ่ง ที่จะทำการศึกษาวิชาวิปัสสนาอย่างจริงจัง ให้เข้าใจ ให้รู้จริง ให้ขึ้นใจ เพื่อจะนำไปปฏิบัติลงในชีวิตประจำวัน ปฏิบัติลงในการยืน เดิน นั่ง นอน รู้คิด รู้หยุดความคิด รู้เท่าทันความคิด รู้จักอยู่เหนือความคิดอันนำไปสู่การอยู่เหนืออัตตาตัวตน เมื่อมีชีวิตอยู่ ก็จะได้สร้างประโยชน์ให้ตนเองและผู้อื่น ต่อเมื่อลมหายใจสุดท้าย ก็มีโอกาสได้พบสุคติภูมิเป็นที่หมาย มีโอกาสไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด แม้ไม่สนใจวิปัสสนาเลย โอกาสเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ก็ยากยิ่ง โอกาสสู่สุคติภูมิก็ยากยิ่ง โอกาสยุติการเวียนว่ายก็เป็นไปไม่ได้ ต้องมีชีวิตสุขๆ ทุกข์ๆ แบบโลกๆ เช่นนี้ไปชั่วอนันตกาล!!!
ป.ล. ทุกวันนี้ผู้คนมีความทุกข์กันมาก
การไม่เท่ากันกิเลสของตน
นอกจากจะสร้างความเดือดร้อนให้ตนเองแล้ว ยังสร้างความเดือดร้อนให้คนรอบข้าง และสังคมด้วย ถึงเวลาแล้วหรือยัง
ที่การเจริญสติหรือวิปัสสนากรรมฐาน
จะกลายเป็นวาระแห่งชาติสำหรับประชาชนชาวไทย!!!
https://www.facebook.com/talktopasin2013